เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศระดมพลบางส่วนในการแถลงผ่านโทรทัศน์ให้มีการระดมกำลังสำรองจำนวน 300,000 นาย เพื่อส่งไปรบในสงครามยูเครนที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.พ. ปีนี้
ตลอดสงครามนาน 6 เดือน ตัวเลขทหารรัสเซียที่เสียชีวิต บาดเจ็บหรือหนีการสู้รบมีประมาณ 40,000-80,000 นาย ยานยนต์ทางทหารฝั่งรัสเซียถูกทำลายหรือสูญหายราว 6,200 คัน ทหารรัสเซียที่หนีการสู้รบหรือปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งตอนนี้อาจสูงราว 20-40% ของหน่วยรบในแนวหน้า เนื่องจากการบุกแบบสายฟ้าแลบและกอบกู้ดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดไปก่อนหน้านี้คืนได้กว่า 8,000 ตารางกิโลเมตรของกองทัพยูเครน ทำให้เกิดการเสียขวัญขนานใหญ่ของบรรดาทหารแห่งกองทัพรัสเซีย
แรกเริ่มที่รัสเซียบุกยูเครนนั้น กองกำลังของรัสเซียในเดือน ก.พ. 2565 นั้น มีทหารราว 190,000 นาย ประกอบด้วย ทหารเกณฑ์ระยะสั้น ทหารรับจ้างและกองกำลังทหารของกลุ่มทหารเชเชนของ รามซาน คาดิลอฟ และกลุ่มกบฏนิยมรัสเซียในโดเนตสก์ และลูฮันสก์ ซึ่งด้อยประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับทหารยูเครนซึ่งต่อสู้เพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ประกอบกับได้ ถุงเมทัลไลท์ ถุงฟอยด์ ทันสมัยจากความช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศองค์การนาโต พร้อมทั้งยุทธวิธีในการรบแบบทางตะวันตกซึ่งยึดถือเรื่องการส่งกำลังบำรุงอย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจในการรบทำให้ยูเครนสามารถต้านทานและตีโต้กองทัพรัสเซียได้แบบที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันมาก่อนเลย
ปูตินประกาศทางทางโทรทัศน์ว่า รัสเซียจะระดมกำลังทหารบางส่วน เพื่อปกป้องมาตุภูมิ อำนาจอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และประชาชนชาวรัสเซียพร้อมกับขู่ประเทศฝ่ายตะวันตกที่สนับสนุนยูเครนทางทหารอีกด้วยว่า รัสเซียมีอาวุธมากมายที่จะตอบโต้ภัยคุกคามจากชาติตะวันตก และนั่นไม่ใช่แค่คำขู่ เพราะรัสเซียจะทำทุกทางเพื่อปกป้องประชาชนของเราในดอนบาสและสั่งเพิ่มเงินลงทุนในการผลิตอาวุธในประเทศด้วย
ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีปูตินจะออกประกาศทางโทรทัศน์นั้น ทางการรัสเซียได้แจ้งว่าจะจัดให้มีการลงประชามติฉุกเฉินในดินแดนของยูเครนส่วนที่รัสเซียควบคุมอยู่เพื่อถามประชาชนว่า ต้องการที่จะรวมอยู่กับรัสเซียหรือไม่ และแทบจะทันที ผู้บริหารพื้นที่ 4 ภูมิภาค ได้แก่ ลูฮันสก์, โดเนตสก์, แคร์ซอน และซาปอรีเชีย ก็ออกมาขานรับว่าจะจัดการลงประชามติเริ่มตั้งแต่ วันที่ 23 ก.ย. นี้ทันที
ประธานาธิบดีปูตินให้สัมภาษณ์ว่า เขาหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่เหล่านั้นที่ไม่ต้องการอยู่ในประเทศของพวกนาซีใหม่ ปรากฏว่าหลังจากที่ประธานาธิบดีปูตินออกประกาศระดมพล 300,000 คนทางโทรทัศน์แล้วก็เกิดผลระลอกแรกแทบจะทันที
ชาวรัสเซียวัยเกณฑ์ทหารแห่หนีออกจากประเทศ ตั๋วเครื่องบินราคาพุ่ง 8 เท่าและขบวนรถยนต์ที่ขับออกนอกประเทศเป็นขบวนยาวเหยียด
สถานการณ์ในรัสเซียเกิดความวุ่นวายปรากฎว่าได้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่โดยชาวรัสเซียทั่วประเทศเพื่อต่อต้านสงครามยูเครนอย่างรุนแรงจนตำรวจได้จับกุมกลุ่มผู้ประท้วงทั่ว 38 เมืองในรัสเซีย ในจำนวนผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมมากกว่า 1,300 คนทั่วประเทศ มากกว่า 500 คนอยู่ในกรุงมอสโก และมากกว่า 520 อยู่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีรายละเอียดว่าในบรรดาผู้ถูกจับกุมนั้นเป็นนักข่าว 9 คน และเยาวชน 33 คน ในจำนวน 1,300 กว่าคนของผู้ประท้วงจำนวนเกินครึ่งที่ถูกจับกุมเป็นสตรี นับเป็นการประท้วงต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดที่มีสัดส่วนของผู้หญิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจับกุมทั้งหมดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด นอกจากนี้สื่อรัสเซียเองรายงานข่าวไฟไหม้ สำนักงานสัสดี อย่างน้อย 4 เมืองในประเทศรัสเซีย
ครับ! นี่เป็นเพียงแค่ผลกระทบระลอกแรกภายในประเทศรัสเซียเองของการที่ประธานาธิบดีปูตินสั่งระดมกำลังพล 300,000 นายเพื่อเสริมทัพรัสเซียในยูเครน แต่เอาตัวอย่างแค่ 2 ประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดต่อกับรัสเซียที่ได้ออกมาแถลงการณ์แล้วส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าเห็นๆ เลยคือ รองนายกรัฐมนตรีหญิงของยูเครนกับนายกรัฐมนตรีหญิงของประเทศเอสโตเนีย
รองนายกรัฐมนตรีอิรีนา เวเรชชุค ของประเทศยูเครน ได้ฝากข้อความถึงทหารใหม่ของรัสเซีย ที่เพิ่งถูกระดมพลจากการประกาศของปูตินมาหยกๆ ว่า อย่าเอาชีวิตอันมีค่าของคุณมารบเพื่อปูติน เมื่อไม่อยากรบก็ขอให้มอบตัวทางการยูเครนรับรองความปลอดภัยและปฏิบัติต่อคุณอย่างดีและถ้าไม่อยากถูกส่งกลับรัสเซีย ทางยูเครนก็จะไม่ส่งกลับ
ส่วนนายกรัฐมนตรีกายา กัลลาส แห่งประเทศเอสโตเนียได้ประกาศอย่างชัดเจนที่จะไม่ช่วยเหลือชาวรัสเซียที่ต้องการหนีการระดมพลให้เข้ามาอยู่ในประเทศเอสโตเนีย เพราะว่าคนรัสเซียต้องช่วยตัวเอง ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วยการออกมาประท้วงการทำสงครามที่บ้าบอของปูติน แบบว่ายุคนรัสฌซียให้แข็งข้อต่อประธานาธิบดีปูตินนั่นเอง รองนายกรัฐมนตรีอิรีนา เวเรชชุค นายกรัฐมนตรีกายา กัลลาส